มุมมองการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยแนวคิด บัว 4 เหล่า

เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินหลักคำสอนจากพระพุทธเจ้า เรื่อง บัว 4 เหล่า มาก่อน พระองค์ได้ทรงพิจารณาแล้วเห็นพระธรรมที่ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อนและยากต่อบุคคลทั่วไปจะเข้าใจ รับรู้ และสามารถปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง และพบว่าบุคคลทั้งหลายบนโลกใบนี้ มีหลากหลายจำพวก บางคนสามารถสอนธรรมให้บรรลุธรรมได้ง่าย บางคนอาจต้องได้รับการชี้แนะหรือฝึกฝน และบางคนก็สอนไม่ได้เลย ซึ่งความแตกต่างของแต่ละบุคคลเหล่านี้ พระพุทธเจ้าจึงได้นำมาเปรียบเทียบกับลักษณะของดอกบัว 4 เหล่า ซึ่งวันนี้เราจะมาไขข้อสังสัยกันว่าเราจัดอยู่ในกลุ่มไหน และหากอยากจะพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของเรา วิธีไหนเหมาะสมที่สุด 1. อุคฆฏิตัญญู คือ พวกมีสติปัญญา ฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จะเบ่งบานทันที หรือกลุ่มคนที่มีความพร้อมและมีพื้นฐานในการเรียนรู้ที่ดีอยู่แล้ว ทำให้สามารถเรียนรู้ได้เร็ว และทำความเข้าใจในบทเรียนได้ง่าย คนกลุ่มนี้ควรเน้นที่กิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งให้นักเรียนมีความท้าทายและกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ เพื่อให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ด้วยตัวเอง 2. เนยยะ คือ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง  เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป หรือกลุ่มของคนที่มีพื้นฐานในการเรียนรู้ที่ดี แต่อาจขาดเทคนิคหรือแนวคิดในการเรียนรู้ที่เหมาะสม ทำให้มีปัญหาการเรียนรู้ในระยะแรก แต่หากได้รับการส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายก็จะสามารถเรียนรู้ได้ดีตามแนวทางเหมาะสมมากยิ่งขึ้นในอนาคต 3. ปทปรมะ คือ พวกที่มีสติปัญญาน้อย​ แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ […]

<strong>พีระมิดแห่งการเรียนรู้</strong><strong> </strong><strong>เรียนแบบไหนดีที่สุดสำหรับคุณ</strong>

พีระมิดแห่งการเรียนรู้ หรือ Learning Pyramid เริ่มต้นศึกษาและพัฒนาโดยNational Training Laboratories ตั้งแต่ช่วงปี 1960s เป็นเหมือนแนวคิดที่ทำให้เราเห็นภาพว่า ‘กิจกรรมแบบไหน’ ทำให้เราสามารถเรียนรู้ ซึมซับ และจดจำข้อมูลได้ดีที่สุด ถ้ารู้เรื่อง Learning Style ของแต่ละคน จะช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะนอกจากพีระมิดนี้แล้ว ความถนัดของแต่ละคนก็ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 1. Visual เรียนรู้ผ่านการมอง 2. Auditory เรียนรู้ผ่านการฟัง 3. Read/Write เรียนรู้ผ่านการเขียน-อ่าน 4. Kinesthetic เรียนรู้ผ่านการลองทำ เอาล่ะ เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า จากแนวคิด Learning Pyramid พฤติกรรมแบบไหนที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีที่สุด การเรียนในห้อง (Lecture) <10% การเรียนรู้ที่เราทำกันเป็นประจำคือการเรียนในห้อง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมที่เราได้เรียนรู้น้อยที่สุด การนั่งฟังอาจารย์สอนอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพเสมอไป ซึ่งเราก็น่าพอมีประสบการณ์ในส่วนนี้กันดี แต่ถ้าอยากให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เรียนควรเตรียมตัวมาอย่างดี ควรมีการถกเถียงในห้องและมีการจดข้อมูลที่เป็นระบบ การอ่าน (Read) 10% การอ่านเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ แต่ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมที่ไม่ค่อยให้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าคนไม่ค่อยชอบการอ่านหนังสือเชิงวิชาการกันอยู่แล้ว (ยกเว้นคนที่เป็น Visual Learner การอ่านจะมีประสิทธิภาพมากกว่าคนในกลุ่มอื่น) การได้ฟังและได้เห็น (Audio/Visual) 20% ไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ เสียง หรือแผนภูมิ นับว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนกันมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการเรียนรู้เพียงแค่ 20% แต่ในอนาคตการเรียนรู้แบบนี้น่าจะเติบโตอีกมากตามเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากขึ้น ที่สำคัญ สื่อเหล่านี้ยังช่วยให้เราเข้าใจในเนื้อหาที่มีความซับซ้อนหรือยากได้ดีขึ้นเช่น สารคดีที่หยิบยกการนำเสนอแบบภาพมาใช้ ด้วยการผนวกภาพจริง กราฟิกและโมชั่นเข้าด้วยกัน อย่าง Vox (https://bit.ly/2Dhu1ZY) หรือซีรีส์ Explained (https://bit.ly/2QF8Eok) การสาธิต (Demonstration) 30% ถ้าเราได้เห็นตัวอย่างจริง จะทำให้การเรียนรู้ของเราได้ผลมากขึ้น อาทิ การดูสาธิตวิธีสำรวจในพื้นที่การทำงานจริง การสาธิตอาจเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในกรณีที่เป็นเรื่องการลงมือทำ ถกเถียง–หารือ (Discussion) 50% การได้ออกความคิดเห็น ได้ถกเถียงในองค์ความรู้ กิจกรรมนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วม ได้ใช้ความคิด ได้มีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แน่นอนว่ามันทำให้คุณได้เรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย ลงมือปฎิบัติ (Practice) 75% การได้ลงมือทำนับว่าเป็นการเรียนรู้ยอดนิยม และหลายฝ่ายก็เชื่อว่าเราจะจดจำข้อมูลต่างๆ ได้ดี เพราะเราจะได้เจอปัญหาจริง ได้ลองทำจริง ได้แก้ไขสถานการณ์ผ่านของจริง ที่สำคัญการได้ลงมือทำ จะทำให้ข้อมูลและความรู้เหล่านั้นถูกย้ายไปไว้ในส่วนของความจำในระยะยาว ซึ่งช่วยให้เราได้เรียนรู้เชิงลึกและจดจำได้ดีขึ้นนั่นเอง สอน (Teach) 90% การสอนนับว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด แต่หลายคนอาจจะมองข้ามเรื่องนี้ไป ถ้าสังเกตให้ดี เวลาเราจะสอนเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ เราต้องมีความเข้าใจเรื่องนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง หาคำอธิบายที่ง่าย ยิ่งคุณสอนมากขึ้น คุณจะยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้นนั่นเองเราจะเห็นเลยว่าในส่วนแรก (การเรียนในห้อง การอ่าน การได้ฟังและได้เห็น การนำเสนอ) เป็นการเรียนรู้ในเชิงรับ (Passive) ซึ่งจะเป็นกิจกรรมที่เราไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรสักเท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นการรับรู้จากคนอื่นแล้วค่อยเปลี่ยนแปลงมาเป็นความรู้ในแบบของเราสำหรับในส่วนที่สอง (การนำเสนอ ถกเถียง-หารือ ลงมือปฎิบัติ สอน) เป็นการเรียนรู้ในเชิงรุก (Active) ที่ต้องผ่านกระบวนการเข้าใจ ก่อนที่จะสะท้อนออกไปสู่ผู้อื่น ซึ่งเราจะเห็นเลยว่าในส่วนที่สองเป็นกิจกรรมทางการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพกว่านั่นเองการเรียนรู้ที่ดี อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียนในห้องหรือการอ่านหนังสือก็ได้ ถ้าเราเรียนรู้เรื่องอะไรมา ก็อย่าลืมแจกจ่ายออกไป เพื่อที่เราจะได้เข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจนขึ้นด้วย

<strong>เริ่มต้นการวางโครงร่างวิจัย</strong>

1. กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เพื่อที่เราจะกำหนดโครงร่างให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาในเอกสารค่ะ รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้วยว่าเราจะเขียนเรื่องอะไรบ้างจะได้แตกย่อยหัวเรื่องได้ถูก เพื่อเขียนให้ตรงกลุ่มผู้อ่าน ผู้อ่านจะได้อะไรจากการอ่าน สิ่งเหล่านี้ต้องนำมากำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนนะคะ ​  Tip เรื่องของการเขียนประเด็นย่อ เป็น Keyword ที่เราอยากทำ และดูความเป็นไปได้ด้วยว่า สามารถทำได้ง่ายหรือไม่ ใช้เวลา ใช้ทุนทรัพย์ มากน้อยขนาดไหน กรณีเป็น dissertation ก็เขียนไปเยอะๆแล้วปรึกษาอาจารย์เลยค่ะ 2. เขียนรายงานฉบับร่าง (First Draft)  โดยกำหนดเป็นย่อหน้าที่แต่ละย่อหน้าจะเริ่มด้วยประโยคสำคัญแล้วตามด้วยคำอธิบายค่ะ ตัวอย่าง ข้อความขยายและจบด้วยประโยคสรุป หรือประโยคที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาในย่อหน้าต่อไป โดยใช้ภาษาที่ง่าย ๆ ชัดเจน ไม่ใช้ศัพท์วิชาการที่เกินความจำเป็น และควรมีการสรุปประเด็นที่สำคัญในหัวข้อแต่ละหัวข้อ Tip แตกแยกร่าง ย่อยเรื่องราวนั้นออกมา เช่น รูปแบบงานวิจัย เชิงปริมาณคุณภาพ จำนวนประชากร รูปแบบการเก็บข้อมูล ระยะเวลาในการดำเนินงานวัตถุประสงค์ ทฤษฏีต่างๆที่จะมารองรับหรือใช้ในงานวิจัย พยายามเลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับเรื่องที่เรียนนะคะ จะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สอดคล้องกับทุนหรือในระดับที่เรียนประเด็นปัญหาทันยุคทันสมัยค่ะ 3. ชื่อเรื่อง ตั้งชื่อเรื่องได้อ่านง่าย เห็นภาพชัดเจนไม่สั้นไม่ยาวเกินไปอ่านเข้าใจได้ว่า ต้องการศึกษาอะไร กลุ่มตัวอย่าง หรือกรณีศึกษาคือใคร ที่ไหน แบบไหน และก็อ่านแล้วสามารถเดาทางได้ว่าวัตถุประสงค์คืออะไร เช่นประสิทธิผลของการออกกำลังกายกับการลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชุมชนส่วนใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พ.ศ.2562 กรณีที่ชื่อยาวมาก ให้แบ่งเป็นสองตอนค่ะ ใช้ตอนแรกบอกความสำคัญ ตอนสองเป็นเพียงส่วนประกอบ เช่นระดับน้ำตาลในเลือดและการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน:การเปรียบเทียบระหว่างชุมชนสวนใหญ่กับชุมชนบางกร่างในจังหวัดนนทบุรี 2562 ข้อควรระวังในการตั้งชื่องานวิจัย • ไม่ชัดเจน คลุมเครือ • ยาวเกินไป • ไม่สอดคล้องกับประเด็นสำคัญที่ต้องการศึกษา 4.บทนำ/ที่มาและความสำคัญของปัญหา ควรเขียนอธิบายกล่าวถึงปัญหา ควรเขียนสัก 2-3 หน้าสำหรับ research proposal นี่กำลังดีเลยดีค่ะ  Tip ให้เขียนแบบสามเหลี่ยมควำนะคะ คือจากกว้างไปแคบ เช่น ประเทศ-ภาค-จังหวัด เป็นต้นค่ะ ซึ่งในความเป็นจริงสามารถเขียนได้หลายรูปแบบ แล้วแต่การนำเสนอเลยค่ะ  ✔ บุคคล ✔ สถาบัน/องค์กร ✔ พื้นที่เฉพาะ (เมือง ชนบท ✔ ภูมิภาค ✔ ประเทศ  ✔ ต่างประเทศ/นานาประเทศ หัวใจของการเล่าเรื่องให้น่าติดตาม หรือมีความสนใจนั้น ต้องทำให้รู้สึกร่วมเสมือนว่าฟังเพลงอินโทร แล้วอยากฟังเพลงนี้ให้จบ บทนำก็เช่นกันค่ะ อย่าลืมว่า คุณมีโอกาสแค่กระดาษไม่กี่แผ่นในการเย็บส่งกรรมการแค่นั้น ฉะนั้นโชว์สกิลให้ความรู้ความสามารถ ทั้งในศาสตร์ที่คุณทำและทักษะการทำวิจัย งัดออกมาให้หมดเลยค่ะเขียนให้กรรมการรู้สึกว่า เรื่องราวนี้ “สำคัญ” ตระหนักรู้สนใจ ด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ Tip ดูจากชื่อเรื่องหลักและมาแตกแยกประเด็นย่อย จากนั้นเอาความคิดย่อยมาขยายออก โดยที่เราคิดอะไรก็ได้ แตกประเด็นความคิดไว้ก่อน ใช้  Mind map ช่วยจัดระบบความคิดดูก็ได้ค่ะ จากนั้นค่อยมาต่อจิ๊กซอว์ ลองจัดระบบความคิดเรียบเรียงประเด็นต่างๆ จากกว้างไปแคบ เพื่อเข้าสู่ประเด็นปัญหา อันไหนที่เราดูแล้วที่แทรกไม่ได้ก็ทิ้งไป ความคิดไหนที่ดูแล้วโอเค ก็รวมแยกไว้อีกย่อหน้าหนึ่งแล้วค่อยมารวมกันก็ได้ค่ะ 5. ปรับปรุงรายงานฉบับร่าง โดยการอ่านทบทวนหลาย ๆ ครั้ง และอาจมีเอกสารและงานวิจัยเพิ่มเติมควรจะนำมาสอดแทรก และปรับปรุงได้ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการวิจัย เพราะการทำวิจัยไม่ใช่การยกเมฆ หรือคิดทึกทักไปเอง จำเป็นต้องมีการอ้างอิง แทรกในเนื้อหาด้วยว่าแนวความคิดนี้มีอยู่จริง ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่แล้ว เช่น มลพิษในอากาศสูง เศรษฐกิจไม่ดี เป็นต้นและควรเป็นหนังสือ วารสาร สื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่ใช่ออนไลน์ก็จะยิ่งดูน่าเชื่อถือค่ะ จากนั้นก็เอาเนื้อหาย่อยๆ มาปะติดปะต่อ ใส่คำเชื่อมร้อยเรียบเรียงเรื่องราวให้สละสลวยค่ะ อย่าลืมที่จะใส่ ส่วนของคำนำเนื้อเรื่อง สรุปด้วยนะคะ รวมถึงไอเดียที่ทำให้คนอ่านเข้าใจง่าย 6. แล้วทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น โดยไม่ต้องเสียดายของเดิม เพราะถ้าดีเค้าก็ให้ผ่านแล้วค่ะหลังจากนั้นให้ลงมือเขียน แล้วก็อ่าน และแก้ไข แล้วเขียนแล้วแก้ไข ทำสักสองสามรอบจากนั้นเราจะรู้ว่าเขียนดีเป็นอย่างไรข้อต่อมาที่สำคัญ คือ 3 อย่า 1 อย่าลืมตรวจคำผิด 2 อย่าลืมเว้นวรรค […]

เมื่อไหร่ที่คุณควรเรียนปริญญาโท MBA

การเรียนปริญญาโท คือประสบการณ์ที่เซลล์ร้อยล้านเองก็ได้ลิ้มรสอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก่อนหน้านี้ผมพูดตรงๆ เลยว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเรียนปริญญาโทเลยแม้แต่น้อยครับ เพราะผมเคยคิดไปเองว่าการเรียนปริญญาโทนั้นมันเป็นเรื่องที่เสียเวลา เรียนไว้เพื่ออัพเงินเดือน หรือเรียนไปงั้นๆ แต่บางคนได้เงินเดือนน้อยกว่าเด็กวุฒิปริญญาตรีด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าไม่ใช่หนทางแห่งความร่ำรวยตามชีวิตเศรษฐที่เคยอ่านหนังสือมาเลยแม้แต่น้อย (สารภาพเลยครับ) ใช่ครับ มันคือความจริงที่คุณจะรวยนั้นมันไม่ได้ยากเกินความสามารถของคุณหลายๆ คนเป็นพ่อค้าแม่ค้าเปิดท้ายขายของมาก่อนแล้วสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเศรษฐีได้ มีบทเรียนชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จมากมายให้คุณได้ศึกษาที่สำคัญคือแต่ละคนไม่ได้เรียนปริญญาโทหรือจบสูงมาด้วยซ้ำ แต่พอผมได้คลุกอยู่กับวงการสตาร์ทอัพและธุรกิจระดับสูงแบบองค์กร (B2B) สิ่งนี้และครับที่เปรียบได้กับการไขว่คว้าโอกาสแบบที่ผมถนัดมากกว่า คำว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” นั้นมีอยู่จริง ธุรกิจที่เป็นรูปแบบบริษัทจะมีความต่างกับธุรกิจที่รวยแบบSME อย่างเห็นได้ชัด มันจะมีเรื่ององค์กร ภาพลักษณ์ ตำแหน่ง หน้าตาทางสังคมฯลฯ เข้ามา หลักสูตรปริญญาโท โดยเฉพาะปริญญาบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต (MBA:Master of Busines Administrator) เป็นหลักสูตรปริญญาโทที่เรียนเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ จึงมีบทบาทสำคัญในโลกของธุรกิจ และมีนักธุรกิจมากมายที่ต้องมีวุฒิปริญญาโทหลักสูตรนี้ ผมจึงขอแชร์เหตุผลว่าเมื่อไหร่คุณถึงจะพร้อมเรียน MBA กันเลยครับ 1. เมื่อคุณมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีพอ อย่าริจะเรียน MBA เพื่อเอาไว้หวังน้ำบ่อหน้าว่าเรียนจบแล้วจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นทะลุแสนหรือได้เป็นหัวหน้างานทันทีหลังเรียนจบ แต่ประสบการณ์การทำงานต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เว้นเสียแต่คุณจะเป็นลูก CEO หรือผู้สอบทอดกิจการพันล้าน ถ้าคุณยังเป็นแค่พนักงานระดับล่างและยังไม่ได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นระดับผู้จัดการ (Manager) ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นหรือระดับกลางขึ้นไป คุณไม่จำเป็นต้องเรียนเลยครับเพราะการเรียนปริญญาโทจะบั่นทอนเวลาทำงานของคุณมากๆ ต่อให้เรียนภาคค่ำ เสาร์–อาทิตย์ก็เหอะ สู้เอาเวลาไปก้มหน้าก้มตาหาเงินและทำงานประจำจนได้เลื่อนขั้นในบริษัทชั้นนำจะดีกว่าครับ เพราะต่อให้คุณเรียนจบMBA อายุน้อยก็จริง แต่ตำแหน่งงานยังไปไม่ถึงไหน ภาษีของคุณย่อมน้อยกว่าคนที่ทำงานเก่งและมีประสบการณ์ที่ดี เผลอๆ เป็นลูกน้องเด็ก ป.ตรี ก็เพราะเหตุนี้นั่นเองครับ ที่สำคัญคือ MBA ที่เรียนแล้วได้ใช้แน่นอน คุณจะต้องทำงานอยู่ในฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือผลกำไรของบริษัท เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี ฝ่ายการเงิน เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งงานเหล่านี้ล้วนต้องการคนที่มีทักษะการจัดการที่ผ่านการพิสูจน์จากหลักสูตร MBA ทั้งนั้นครับ 2. เมื่อคุณมีเงินมากพอ การเข้าสู่โลกแห่งการทำงานเต็มตัวคงไม่ทำให้คุณต้องลำบากขอเงินพ่อแม่อีกต่อไป การเรียน MBA ถือว่าเป็นการลงทุนกับตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งคุณภาพจะดีหรือไม่ดีก็ต้องขึ้นอยู่กับสถาบันและ “ค่าเทอมที่คุณจ่าย” (ฮา) ก็แน่ล่ะครับว่าหลักสูตรMBA ไม่มีรัฐบาลช่วยอุ้มเหมือนป.ตรี แน่นอน เงินในกระเป๋าจะเป็นตัวบ่งบอกถึงการซื้อโอกาสและคอนเนคชั่น รวมไปถึงวุฒิอันทรงเกียรติที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต ถ้าคุณเรียนพอใช้ได้ ไม่ได้โง่ จงเก็บเงินให้มากพอเพื่อซื้อโอกาสในการเรียนกับสถาบันที่มีชื่อเสียง ส่วนสถาบันโนเนมนั้น เซลล์ร้อยล้านไม่แนะนำเด็ดขาด แต่ถ้าพ่อแม่คุณมีเงินและพร้อมที่จะช่วยคุณก็ลุยได้เลยนะครับ ไม่ผิดที่จะใช้เงินพ่อแม่อีกเหมือนกัน 3. เมื่อคุณต้องการเป็นผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ในบริษัทชื่อดัง ตำแหน่งงานในฝันของชาวมนุษย์เงินเดือนแทบทุกคนก็คือผู้จัดการ ผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ไปจนถึง General Manager, Managing Director, CEO, President เป็นต้นในบริษัทที่มีชื่อเสียง ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตของใครหลายๆคน เพราะนอกจากจะมี “หัวโขน” ที่ทำให้คุณภูมิใจได้เต็มอก คุณยังจะได้เงินเดือนระดับหลายแสนไปจนถึงหลักล้าน รวมไปถึงสวัสดิการที่ดีเลิศ มีลูกน้องให้คุมเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพัน มีเงินเข้ากระเป๋าทุกเดือนพร้อมกับหุ้นในบางบริษัท งานในตำแหน่งนี้หลายๆ คนรวยกว่าทำธุรกิจส่วนตัวเยอะมาก ตำแหน่งนี้จึงไม่มีการคัดคนแบบซี้ซั้วแน่นอน ซึ่งถ้าคุณจะก้าวขึ้นสู้ตำแหน่งระดับผู้บริหาร (Executive) โดยเฉพาะในบริษัทชื่อดัง ขอบอกเลยว่าแต่เสือ สิงห์ กระทิงแรดทั้งนั้น คนที่ถูกคัดเลือกมาจะมีความเก่งเหนือมนุษย์เช่นเดียวกับคุณในกรณีที่คุณเป็นตัวเลือก (Candidate) สำหรับระดับผู้บริหาร แต่ถ้าคุณไม่มีวุฒิ MBA ของสถาบันชื่อดัง คุณจะมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะได้ขึ้นสู่ระดับ C-Level ครับ ยิ่งบริษัทมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าไหร่ วุฒิของคนระดับนั้นย่อมเทพขึ้นเท่านั้น จบยูดังแถมยังเป็นเมืองนอกอีกด้วย ลำพังถ้าคุณไม่ได้จบศศินทร์หรือสถาบันที่เทียบเคียงได้ ชาตินี้ไม่มีทางสู้เด็กจบนอกยูดังได้แน่นอน โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ยิ่งสูงยิ่งหนาวมีจริง 4. เมื่อคุณต้องการซูเปอร์คอนเนคชั่น คำว่าคอนเนคชั่นคงเป็นคำที่คุณได้ยินจนเบื่อ แต่มันก็คือเรื่องจริงที่หลักสูตรMBA จะมีคนที่คิดดี ใฝ่ดี ต้องการประสบความสำเร็จและต้องการก้าวหน้าเหมือนกับคุณ การได้เรียนกับบุคคลระดับสุดยอดจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายในการก้าวไปเป็นผู้ประกอบการในอนาคต เผลอๆ ไม่ต้องใช้เงินซักบาทถ้าคุณมีดีพอถ้าคุณเก่งหรือมีความสามารถ เช่น การขาย การตลาด หรือการเงิน เพื่อนร่วมรุ่นคุณนี่แหละที่จะชวนคุณทำธุรกิจ มีหลายโมเดลธุรกิจตอนนี้ที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ป.โท ที่รวมตัวกันทำธุรกิจแบบคนเรียนหนังสือ ความเสี่ยงจึงมีน้อยกว่าพร้อมกับความรู้ที่มีมากกว่าจึงทำให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้าได้เร็ว แต่ถ้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่สนใจโลก รักสันโดษ ไม่เอาสังคม ก็ต้องขอบอกว่าเลิกเฮอะ อย่าเรียนเลย เสียเวลาเปล่าๆ ครับ คอนเนคชั่นซื้อได้ด้วยเงิน บางคนได้แฟนดีๆ แถมยังมีสมองกับสิ่งที่คิดคล้ายๆ กับคุณด้วยนะเออ (ฮา) 5. เมื่อคุณอยากรวยขึ้น ถ้าเรียนแล้วไม่คิดว่าจะรวยขึ้นก็อย่าเรียนมันเลยครับ หลักสูตร MBA คือหลักสูตรที่สอนคุณคิดเรื่องการบริหารภายในองค์กร ถ้าคุณทำงานตรงสายและมีวุฒินี้อยู่กับมือเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นกับโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นหรือรุ่นพี่ย่อมทำให้ประตูสู่ความมั่งคั่งนั้นเปิดกว้างกว่าการอยู่แต่ในกะลาแล้วไม่ออกไปดูโลกว่าหมุนไปถึงไหนแล้วจงคิดเสมอว่าถ้าเลือกมาเรียนปริญญาโทก็ต้องได้อะไรกลับไปอย่างน้อยต้องมีฐานะที่รวยขึ้นในอนาคตอันใกล้แต่ถ้าเรียนไปเพื่อฆ่าเวลาขอบอกเลยว่าคุณไม่มีทางเอาวุฒิป.โท มาทำให้คุณรวยขึ้นแน่นอน นี่คือเหตุผลที่ผมอยากให้คุณลองลงทุนกับตัวเองเพื่อสร้างความมั่งคั่งในอนาคตนะครับ Credit: 

<strong>สาเหตุอาการง่วงตอนบ่ายและวิธีการรับมือปัญหา</strong>

เคยไหมครับ? เข้าสู่ช่วงบ่ายทีไรรู้สึกง่วงทุกทีเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน หรือใครก็ตาม ผมมั่นใจว่าคุณน่าจะเคยประสบกับปัญหาเดียวกันกับผม นั่นก็คือ รู้สึกง่วงนอนน ในตอนบ่ายหลังทานอาหารกลางวัน ซึ่งผมมั่นใจว่าปัญหานี้น่าจะส่งผลกระทบทำให้คุณต้องเสียสมาธิในการเรียน หรือรบกวนสมาธิในการทำงานของคุณแน่นอน ปัญหานี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา วันนี้เราจะมาไขข้อสังสัยกันว่า สาเหตุอาการง่วงตอนบ่าย และวิธีการรับมือปัญหาอาการง่วงที่ไม่พึ่งประสงค์คืออะไร มาไขข้อสงสัยไปพร้อมๆกันน สาเหตุอาการง่วงนอนตอนบ่าย กินเยอะ หากคุณกินอาหารเยอะเกินไป ร่างกายก็จะโฟกัสในการย่อย ก็จะดึงเลือดเราไปโฟกัสที่บริเวณหน้าท้อง ทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียรู้สึกตาตกง่ายขึ้น และยิ่งคุณกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดย่อยเร็วเยอะ เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง น้ำหวาน ก็จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียครับ ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย การนั่งทำงานอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้ลุกเดิน ขยับเคลื่อนไหวร่างกายก็จะทำให้รู้สึกง่วงได้ รวมถึงการจดจ่ออยู่กับอะไรนานๆ ก็จะทำให้เพลียและอ่อนล้า ยิ่งผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลายิ่งทำให้รู้สึกล้าสายตาและต้องการการพักผ่อนระหว่างวันมากยิ่งขึ้น มีปัญหาด้านสุขภาพ การมีปัญหาด้านสุขภาพหรือมีโรคประจำตัวก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนบ่ายเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย และเหนื่อยล้าได้ง่ายกว่าปกติ นอนกรน อีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ง่วงนอนตอนบ่ายก็คือการนอนกรนและสะดุ้งเฮือกตื่นระหว่างคืนวนเป็นวงจรอยู่อย่างนี้ตลอดคืน ซึ่งการนอนกรนก็มีทั้งแบบปกติและแบบรุนแรง ซึ่งมีผลเสียแตกต่างกันออกไป วิธีการรับมือและแก้ไขปัญหาง่วงนอนตอนบ่าย แบ่งย่อยมื้ออาหารและดื่มน้ำมากๆ การทานอาหารบ่อยๆ ในปริมาณที่ไม่มากกำลังพอเหมาะ จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานไปได้ตลอดทั้งวันโดยไม่อ่อนเพลีย ลองเปลี่ยนมาย่อยมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อใหญ่ เป็นวันละ 5-6 มื้อย่อย รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ไม่น้อย ขยับบ้าง ออกกำลังกายบ้าง การที่เราได้ขยับ […]